“อบเชย” (Cinnamon) เป็นเครื่องเทศที่มีกลิ่นหอม ได้มาจากเปลือกไม้ชั้นในที่แห้งแล้วของต้นอบเชย อบเชยมีหลายชนิด มักจะเรียกตามแหล่งเพาะปลูกเช่น อบเชยจีน อบเชยลังกา อบเชยญวน เป็นต้น
- “อบเชย” เป็นเครื่องเทศที่มีกลิ่นหอม ได้มาจากเปลือกไม้ชั้นในที่แห้งแล้วของต้นอบเชย แท่งอบเชยมีสีน้ำตาลแดง มีลักษณะเหมือนแผ่นไม้แห้งที่ หดงอหลังจากโดนความชื้น มักจะเรียกตามแหล่งเพาะปลูกเช่น อบเชยจีน อบเชยลังกา อบเชยญวน เป็นต้น ส่วน “อบเชยผง” จะเป็นการนำอบเชยแท่งมาบดอีกที เพื่อให้สะดวกในการใช้ประกอบอาหาร ซึ่งลักษณะเด่นของอบเชย ก็คือ “กลิ่น” ที่มีเอกลักษณ์ ในประเทศไทยไม่นิยมปลูกเพราะภูมิอากาศไม่เหมาะสม
ชื่อของอบเชย
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cinnamomum verum J. Presl
ชื่อวงศ์ : Lauraceae
ชื่อพ้อง : Cinnamomum zeylanicum Nees
ชื่อสามัญ : Cinnamon, Cinnamon tree, Ceylon cinnamon tree
ชื่อท้องถิ่น อบเชยเทศ อบเชยลังกา อบเชยศรีลังกา
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของอบเชย
ลักษณะทั่วไป
ลำต้น
- เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ สูงประมาณ 10-20 เมตร
- เปลือกมีสีเทาหรือน้ำตาลแดง มีกลิ่นหอมเฉพาะ
ใบ
- ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับกันตามกิ่ง
- รูปใบเป็นรูปรีหรือรูปไข่ยาว ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ
- ใบมีสีเขียวเข้มมันเงา ด้านล่างของใบสีจางกว่า
- เส้นใบมีลักษณะเด่น สามารถมองเห็นได้ชัดเจน
ดอก
- ดอกเป็นช่อกระจุก ออกตามซอกใบหรือปลายกิ่ง
- ช่อดอกมีสีขาวถึงเหลืองอ่อน
- ดอกมีขนาดเล็ก ประกอบด้วยกลีบเลี้ยง 6 กลีบ และกลีบดอก 6 กลีบ
ผล
- ผลเป็นผลสดแบบเบอรี่ รูปทรงกลมถึงรูปไข่ ขนาดเล็ก
- เมื่อผลสุกจะมีสีดำหรือม่วงดำ
ลักษณะเฉพาะของพันธุ์หลัก
อบเชยเทศ (Cinnamomum verum หรือ Cinnamomum zeylanicum)
- เป็นพันธุ์ที่มีถิ่นกำเนิดในศรีลังกา
- เปลือกใน (Cinnamon bark) จะถูกปอกออกมาใช้เป็นเครื่องเทศ มีรสหวานอมเผ็ดเล็กน้อยและมีกลิ่นหอม
อบเชยจีน (Cinnamomum cassia)
- มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน
- เปลือกในมีความหนากว่า รสชาติและกลิ่นจะเข้มข้นกว่าอบเชยเทศ
- ใช้วิธีเพาะเมล็ด เมล็ดอบเชยเมื่อแกะออกจากผลแล้วควรเพาะทันที เพราะเมล็ดจะสูญเสียความงอกอย่างรวดเร็วมาก เมื่อต้นกล้างอกสูงประมาณ 15 เซนติเมตร หรือ อายุ 4 เดือนนับจากวันเพาะให้ย้ายลงถุง ดูแลรักษาอีก 4 – 5 เดือนจึงย้ายลงปลูกในแปลง ไถพรวนดินในแปลงปลูก ขุดหลุมปลูกขนาด 30 x 30 x 30 เซนติเมตร รองก้นหลุมด้วยปุ๋นคอกอัตรา 0.5 กิโลกรัมต่อต้น ระยะปลูกที่ใช้ 2 x 2 เมตร
- “อบเชย” มีฤทธิ์อุ่นร้อน มีรสหอมหวาน ช่วยขับเหงื่อ ให้ความสดชื่น แก้อาการอ่อนเพลีย น้ำมันอบเชยเทศใช้เป็นส่วนผสมในยาขับลม แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อราและเชื้อจุลินทรีย์ แต่มีผลข้างเคียงคือก่อให้เกิดความระคายเคืองมากกว่าน้ำมันอบเชยเทศ
เปลือก
- หอมหวาน บำรุงดวงจิต แก้อ่อนเพลัน ทำให้มีกำลัง ขับผายลม
- เปลือกต้ม หรือทำเป็นผง แก้โรคหนองในและแก้โทษน้ำคาวปลา
- ใช้เป็นยานัตถุ์ แก้ปวดศีรษะ ปรุงรับประทานเป็นยาบำรุงกำลัง และปรุงเป็นยาแก้บิด และไข้สันนิบาต
ใบ
- เป็นสมุนไพรหอม ปรุงเป็นยาหอม แก้ลมวิงเวียนและจุกเสียดแน่นและลงท้อง เป็นยาบำรุงกำลัง และบำรุงธาตุ
ราก
- ต้มน้ำรับประทาน แก้ไข้เนื่องจากความอักเสบของสตรีที่คลอดบุตรใหม่ๆ
สรรพคุณทางยาและสุขภาพ
ต้านการอักเสบ
- ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย และบรรเทาอาการปวดข้ออักเสบ
ต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา
- มีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา ซึ่งช่วยป้องกันการติดเชื้อ
ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
- ช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ มีประโยชน์สำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2
เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
- ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น
บรรเทาอาการหวัดและไข้หวัดใหญ่
- ช่วยบรรเทาอาการไอ เจ็บคอ และช่วยขับเหงื่อในกรณีที่มีไข้
วิธีการใช้แต่ละชนิด
ชาอบเชย
- ต้มเปลือกอบเชยกับน้ำร้อน แล้วดื่มเป็นชา
ผงอบเชย
- ผสมผงอบเชยกับอาหารหรือเครื่องดื่ม เช่น กาแฟ ชา หรือโรยบนขนมปัง
น้ำมันอบเชย
- ใช้ทาภายนอกเพื่อลดอาการปวดกล้ามเนื้อ หรือใช้สูดดมเพื่อบรรเทาอาการหวัด
ข้อควรระวัง
- ควรใช้ในปริมาณที่เหมาะสม เนื่องจากการบริโภคอบเชยในปริมาณมากอาจมีผลข้างเคียง เช่น การระคายเคืองกระเพาะอาหาร หรือมีผลต่อตับ
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
- สตรีมีครรภ์และให้นมบุตรควรหลีกเลี่ยงการใช้ในปริมาณมาก